Case
Studies
สัมภาษณ์
CIO - ดร. มนู อรดีดลเชษฐ์
ประธานกรรมการบริหารบริษัทด้าต้าแมท จำกัด (มหาชน)
ประเด็นเรื่องความขาดแคลนบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในภาครัฐ
เป็นประเด็นที่ท่าน CIO ให้ความสนใจ และกล่าวถึงกันทุกครั้งที่มีการระดมสมอง
CIO Newsletter ฉบับนี้ พบกับมุมมองในประเด็นนี้จากผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนบ้าง
บทสัมภาษณ์ ดร. มนู อรดีดลเชษฐ์ เกี่ยวกับ ความขาดแคลนบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทย
คงพอจะให้แง่คิดที่เป็นประโยชน์แก่ท่าน CIO และท่านผู้อ่านทุก ท่านดร.
มนู อรดีดลเชษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทด้าต้าแมท จำกัด (มหาชน)
นับเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ และมีความรู้แตกฉาน เป็นที่ยอมรับกันในแวดวงไอที
และแวดวงวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ในเรื่องซอฟต์แวร์ อีกทั้งยังเป็นผู้มีประสบการณ์อันยาวนานในธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์
โดยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกิตติมาศักดิ์สมคมธุรกิจคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้
ในปัจจุบันท่านยังเป็นอาจารย์พิเศษสอนในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง
ในฐานะบุคคลที่อยู่ในธุรกิจด้านไอที
ใน 2-3 ปีที่ผ่านมาอาจารย์พบปัญหาเรื่องการขาดแคลนบุคลากรด้านนี้บ้างหรือไม่
ความจริงแล้วเรื่องการขาดแคลนก็ขาดแคลนมาโดยตลอด
แต่ระยะ 2 ปีหลังมานี้การขาดแคลนเริ่มเข้าสู่ขั้นวิกฤติ เหตุผลคือ
เรากำลังอยู่ในช่วงข้ามเปลี่ยนทางเทคโนโลยีสารสนเทศจากระบบเดิมสู่ระบบใหม่ซึ่งมีอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นฐานสำคัญ
ถ้าตอนนี้เราไปดูระบบขององค์กรต่างๆ จะพบว่าส่วนใหญ่ยังใช้ระบบเดิม
ซึ่งมีลักษณะเป็น two-tier client server และยังมีการลงทุนในระบบประเภทนี้อยู่
เคยมีตัวอย่างจริงเกิดขึ้นในบางบริษัทที่ต้องการที่จะขยายระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของตน
และมีบริษัทผู้ให้บริการรายหนึ่งเสนอที่จะสร้างระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ในแบบ
three-tier client server เพื่อรองรับอินเทอร์เน็ต แต่ปรากฏว่าผู้บริหารทางไอทีของบริษัทว่าจ้างยังไม่คุ้นกับระบบแบบใหม่นี้
ยังไม่คุ้นกับโปรแกรมภาษา JAVA ยังไม่คุ้นกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการมีระบบแบบนี้
จึงตัดสินใจที่จะหันกลับไปใช้เทคโนโลยีแบบเก่า โปรแกรมแบบเก่า ที่คุ้นเคยอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น
การขาดแคลนบุคลากรไอที ในความเห็นของผมนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท
คือการขาดแคลนโดยตรงกับการขาดแคลนโดยอ้อม การขาดแคลนโดยตรงนั้นหมายความว่าเราต้องการ
5 คนแต่หาได้เพียง 2 คน แต่การขาดแคลนโดยอ้อมนั้นหมายความว่า ลักษณะของทักษะที่เราต้องการนั้นยังไม่ได้รับการพัฒนา
เราจึงหันไปหาเทคโนโลยีแบบเก่าเพราะไม่มีบุคลากร ซึ่งผมเห็นว่า การขาดแคลนโดยอ้อมนั้นก่อให้เกิดความเสียหายที่ร้ายแรงเท่าเทียมหรืออาจจะยิ่งกว่าการขาดแคลนโดยตรงเสียอีก
เพราะถ้าเป็นการขาดแคลนโดยตรง การขาดแคลนนั้นจะเห็นได้โดยชัดเจน
เช่น เรามีโครงการขนาด 20 ล้านแล้วเราก็อาจจะตัดสินใจไม่ลงทุนในโครงการนั้นเพราะไม่มีบุคลากร
แต่ถ้าเรามีบุคลากรแต่เป็นบุคลากรที่ล้าสมัย แล้วเราอาจจะตัดสินใจลงทุนไป
20 ล้าน ใช้เวลาพัฒนาอีก 2 ปี เมื่อโครงการเสร็จสิ้นปรากฏว่าระบบที่สร้างขึ้นมาก็ใช้ไม่ได้แล้ว
ล้าสมัยไปแล้ว นี่คือความเสียหายใหญ่หลวง ในส่วนของบุคลากรไอทีเองก็คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ผู้ที่จะมีปัญหาก็คือนายทุนที่ออกเงิน เพราะโดยปกตินายทุนก็จะตัดสินใจตามคำแนะนำของที่ปรึกษาด้านไอที
ซึ่งที่ปรึกษาด้านไอทีเองก็อาจตามเทคโนโลยีไม่ทัน หรือไม่รู้สึกมั่นใจ
สะดวกใจ ที่จะเข้าไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็เลยแนะนำเทคโนโลยีแบบเก่า
ซึ่งตนถนัดและมีความรู้ความชำนาญอยู่แล้ว
สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับราชการก็จะเป็นในลักษณะเดียวกัน
การประมูลส่วนใหญ่ตอนนี้จะเน้นการประมูล hardware แต่ส่วนของเนื้อหาหรือ
software ต่างๆ ก็ยังเป็นลักษณะเดิมคือ two-tier client server ตอนนี้หลายประเทศกำลังมุ่งสู่การเป็น
e-government โดยอาศัยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเกื้อหนุน แต่สำหรับพวกที่ยังไม่ได้ศึกษาลึก
หรือมีบุคลากรที่ยังขาดการพัฒนาทักษะให้ตามทันเทคโนโลยี ก็จะเห็นแต่ว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องของการค้นหาข้อมูล
(browse) จากต่างๆที่ โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงลักษณะโครงสร้าง (architecture)
ของซอฟต์แวร์ที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งบุคลากรที่มีทักษะในเรื่องการออกแบบซอฟต์แวร์ในรูปแบบโครงสร้างใหม่นี้ยังหาได้น้อยมาก
เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึงการขาดแคลนบุคลากรไอทีในปัจจุบัน เราไม่ได้หมายถึงเฉพาะจำนวนที่ขาด
ซึ่งก็ขาดอยู่มาก แต่เรายังหมายถึงการที่บุคลากรไอทีที่มีอาชีพอยู่ในปัจจุบันนี้นั้นก็จะไม่สามารถรองรับงานในอนาคตได้
หากขาดการพัฒนาต่อไป
อาจารย์มีความเห็นอย่างไรต่อโครงการอบรมในหลักสูตรระยะสั้น
เช่น 6 เดือนหรือ 1 ปี เพื่อฝึกหัดบุคลากรให้เป็นโปรแกรมเมอร์หรือผู้วิเคราะห์ระบบ
(system analyst)
จากที่เราทำงานอยู่เราก็รู้นะครับว่า
การนำเด็กที่ไม่มีพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์อยู่ก่อนเลย เข้าอบรมเป็นเวลา
3 เดือน 6 เดือน แล้วจะให้มาเป็น system analyst มาเป็น programmer
มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าโครงการอบรมระยะสั้นที่มีอยู่นั้นมันเป็นการเสียเปล่าหรือไม่
ก็คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง เพราะอย่างโครงการอบรมระยะสั้นโครงการหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี
ก็เป็นลักษณะการอบรมจำนวนมากคือนักเรียนจำนวนหลายหมื่นคนในแต่ละรุ่น
เพราะฉะนั้นในหมู่นักเรียนจำนวนมากนี้ ก็น่าจะมีสักจำนวนหนึ่งที่มีความสามารถและขวนขวายที่จะพัฒนาตนเองต่อไปอีก
เพราะความจริงก็มีคนมากมายที่อาจไม่ได้เรียนในระบบมากนัก แต่ก็สามารถศึกษาเองจนมีความรู้ความสามารถ
จากเหตุที่เป็นการอบรมจำนวนมาก ก็ต้องมีเด็กที่มีลักษณะเช่นนี้ คือพัฒนาตนเองได้
แต่ถ้าจะถามผมว่าเด็กส่วนใหญ่ที่จบจากโครงการอบรมระยะสั้นนี้นั้นจะหางานได้ไหม
คำตอบคือไม่ได้ ผมเคยเตือนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เริ่มต้นที่มีการริเริ่มจะมีโครงการนี้ออกมาแล้วว่าเป็นเรื่องที่ต้องระวังสำหรับคนที่เข้าเรียน
คืออาจเป็นการให้ความหวังเกินจริง เพราะการเรียนหลักสูตรแบบนี้ไม่ใช่ว่าเรียนแล้วจะหางานได้
จริงอยู่ว่าในตลาดไอทีเราขาด programmer ขาดผู้บริหารระบบ ขาดบุคลากรหลายประเภท
แต่ประเภทของบุคลากรที่เราขาดคือผู้มีความเชี่ยวชาญ หมายความว่าเราขาด
skilled programmers เราขาด skilled analysts ไม่ใช่อะไรก็ได้ ไม่ใช่ผู้ที่มีเพียงความรู้เบื้องต้น
เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าถ้าคุณไปเรียน 2 วิชามาแล้วจะหางานได้ ก็พยายามที่จะเตือนในเรื่องนี้
แต่ก็อย่างที่ผมพูดไปแล้ว ในจำนวนเด็กที่ผ่านการอบรมประเภทนี้ ก็จะมีบางส่วนที่ใช้ได้
หมายถึงว่ากลุ่มที่เรียนเป็นพื้นฐานเริ่มต้นแล้วต้องขวนขวายเรียนเพิ่มเติมเอง
แต่อย่างน้อยโครงการเหล่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้กับคนกลุ่มหนึ่ง
ที่ภาวะเศรษฐกิจอาจทำให้ว่างงานอยู่เฉยๆ ก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับเขา
อาจารย์เห็นปัญหาในด้านการศึกษาหรือไม่
ในแง่ที่จะผลิตบุคลากรไอทีให้เพียงพอและสอดคล้องต่อความต้องการของตลาด
จากที่มีโอกาสไปคลุกคลีกับหลายมหาวิทยาลัย
ผมพบว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนอาจารย์ แต่เป็นการขาดแคลนงบที่จะให้โอกาสอาจารย์พัฒนาความรู้เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ
เราขาดกองทุนที่จะส่งอาจารย์ไปอบรมหรือเรียนเพิ่มเติม จะเห็นว่าเวลามีการร่างหลักสูตร
คนร่างหลักสูตรก็จะเขียนออกมาอย่างสวยหรู แต่เวลาสอนจริงก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวอาจารย์
หากบางท่านไม่มีโอกาสได้พัฒนาความรู้เพิ่มเติม ก็จะสอนเฉพาะที่รู้
ซึ่งมันอาจจะคนละเรื่องกับหลักสูตรที่วางไว้ เพราะฉะนั้นก็เป็นผลเสียแก่เด็กนักเรียน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เท่าที่ทราบก็จะตัดงบที่จะส่งอาจารย์ไปดูงาน
ไปเรียนต่อ ไปเข้าสัมมนา ซึ่งก่อนหน้านั้นมีอยู่ แล้วยิ่งนับวันเทคโนโลยีก็จะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้น
เพราะฉะนั้นเท่าที่ผมเห็นคือขณะนี้มีอาจารย์ส่วนน้อยเท่านั้น คือที่เพิ่งจบมาใหม่ๆ
ที่จะสามารถสอนเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ แต่อาจารย์เดิมที่ขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ก็จะมีบางส่วนที่พยายามพัฒนาตนเอง ศึกษาเพิ่มเติมเอง แต่ว่าส่วนใหญ่ก็คงยังสอนโปรแกรมภาษา
C สอน Pascal กันอยู่ ซึ่งตอนนี้ก็ล้าสมัยไปแล้ว ไม่เป็นที่ต้องการในตลาดแล้ว
จริงๆ
แล้วในหมู่ผู้ประกอบการก็เพิ่งมีการหารือกันเมื่อไม่นานมานี้เอง
ว่าประเด็นเรื่องการขาดทักษะสำหรับรองรับเทคโนโลยีใหม่นั้นมีผลเสียต่อผู้ประกอบการ
เพราะว่าค่าใช้จ่ายต้องมาตกอยู่กับเรา หมายความว่า เด็กจบใหม่ที่เข้ามาทำงานนั้นยังไม่พร้อมที่จะทำงานได้จริงเพราะเรื่องที่ได้เรียนมานั้นหมดสมัยไปแล้ว
บริษัทก็เลยต้องลงทุนส่งเขาไปอบรมเพิ่มเติมก่อนที่จะทำงานได้จริง
เป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นทุนของการประกอบการก็จะสูงขึ้น
ความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในเวทีสากลก็ลดน้อยลง
ไม่ทราบว่าทางภาคเอกชนมีความคิดที่จะช่วยเหลือภาคการศึกษาโดยออกทุนให้แก่สถาบันเพื่อนำครูอาจารย์ไปพัฒนาความรู้
หรือไม่
ตอนนี้จนกันหมดนะ
เอกชนก็จน รัฐบาลก็จน นี่คือปัญหา แต่จริงๆ แล้ว สิ่งนี้ควรเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรเป็นผู้ลงทุน
เพราะว่าถ้าปล่อยให้เอกชนลงทุน เอกชนก็จะมองดูแค่ความจำเป็นเฉพาะหน้า
จึงเป็นสิ่งที่ควรอยู่ในความดูแลของรัฐบาล ซึ่งอาจจะทำร่วมกับเอกชนก็ได้
แต่ต้องอยู่ในความดูแลของรัฐบาลเป็นหลัก
อาจารย์มองเห็นแนวโน้มความต้องการด้านบุคลากรไอทีของประเทศไทยเป็นอย่างไรทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ผมแบ่ง
IT industry ทั้งหมดในบ้านเราออกเป็น 5 ส่วนคือ telecommunitcation,
data network, computer hardware, Internet, และ application software
โดยแต่ละส่วนก็จะประกอบด้วยทั้งด้านที่เป็นฮาร์ดแวร์แท้ๆ กับด้านที่เป็นซอฟต์แวร์
ยกเว้น application software ประเภทเดียวที่มีแต่ซอฟต์แวร์ล้วนๆ
ถ้าพูดถึงการขาดแคลนบุคลากรไม่ว่าจะเป็นในส่วนไหนของ industry ก็จะเป็นการขาดแคลนด้านซอฟต์แวร์มากกว่าฮาร์ดแวร์
จริงอยู่สำหรับส่วนของ telecommunication นั้น การขาดแคลนบุคลากรด้านฮาร์ดแวร์ก็จะเกิดขึ้นเช่นกัน
และก็ไม่ใช่สำหรับอุปกรณ์ง่ายๆ ระดับพื้นฐาน แต่เป็นสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง
เช่น พวก satellite และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค (consumer
electronics) ซึ่งสามารถใช้สื่อสารบนอินเทอร์เน็ตได้ด้วย ที่เริ่มมีแล้วก็เห็นจะเป็นโทรศัพท์มือถือ
พวกอุปกรณ์ wireless ต่างๆจะมีบทบาทมากขึ้น เมื่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคมีผลิตออกสู่ตลาดและเป็นที่นิยมมากขึ้น
บุคลากรที่มีทักษะในการออกแบบ embedded software ก็จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น
การใช้ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตจะมีมากขึ้น
ถ้าวันนี้มีโครงการหนึ่งที่ต้องใช้ JAVA programmer จะพบว่าในตลาดแทบจะหาบุคลากรด้านนี้ได้น้อยมาก
ถ้าต้องการ 100 คนผมว่าอาจจะหาได้สัก 10 คน ผมคิดว่าปัญหานี้จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ทันทีที่ความต้องการด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มีมากขึ้น เพราะฉะนั้นสรุปแล้วก็คือบุคลากรด้านซอฟต์แวร์ที่ปรับตัวเองเข้าหาเทคโนโลยีอย่างใหม่
ตอนนี้ขาดแคลนค่อนข้างรุนแรง เช่น บุคลากรที่มีทักษะด้าน web programming
ที่ผมพูดนี่ไม่ได้หมายถึง web page designer ที่ออกแบบรูปร่างหน้าตาของ
web page เท่านั้น ซึ่งทักษะประเภทนี้สามารถฝึกฝนกันได้ไม่ยากนัก
ในปัจจุบันผู้ที่จบด้านศิลปะ ด้านช่างศิลป์ต่างๆ หากได้รับการอบรมในระยะสั้น
ก็จะสามารถทำงานด้านนี้ได้ดีเนื่องจากมีความสามารถในการออกแบบ ในการใช้สีได้ดีอยู่แล้ว
แต่สิ่งนั้นเป็นเพียงส่วนหน้าของกระบวนการทั้งหมดที่มีอีกมากมายและซับซ้อน
การขาดแคลนที่ผมพูดถึงนี่หมายถึงการขาดแคลนทักษะด้าน
web programming ซึ่งรวมถึงความเข้าใจในการใช้ XML ความสามารถในการออกแบบโดยใช้หลักการของ
dynamic HTML หรือพวกที่สามารถออกแบบในเชิง distributed components
บุคลากรประเภทนี้ความจริงต้องนับว่าขาดแคลนอย่างรุนแรง สำหรับปัจจุบันอาจยังเห็นได้ไม่ชัดเจนนักเนื่องจากว่าองค์กรต่างๆ
ที่เป็นผู้ใช้ระบบอาจจะยังไม่เห็นว่าเขาจะต้องเปลี่ยนแปลง จะต้องก้าวเข้าสู่สิ่งใหม่สิ่งนี้
จึงยังไม่เรียกร้องอะไร แต่ผมเห็นว่าไม่ช้าไม่นานความจำเป็นนี้ก็จะแสดงตัวออกมาให้เห็น
สมมุติว่ามีบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เขาก็จะเรียกร้องสิ่งเหล่านี้
บริษัทใหญ่ๆ ก็จะไม่สามารถเพิกเฉยต่อความต้องการเทคโนโลยีใหม่นี้ต่อไปได้
ที่นี้ก็จะเกิดปัญหาหาบุคลากรไม่ได้
เมื่อต้องพิจารณาความต้องการบุคลากรเราก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาเป้าหมายของภาครัฐ
แนวนโยบายด้านไอทีของภาครัฐที่เห็นได้ชัดเจนประการหนึ่งตอนนี้ก็คือการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
ซึ่งเราก็ต้องพิจารณาว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่พูดถึงนี้หมายถึงอะไร
ขอบเขตเป็นอย่างไร ประเภทไหน เป็นต้น เป้าหมายทางตัวเลขที่กำหนดไว้คือภายใน
5-6 ปีข้างหน้านี้ ประเทศไทยต้องการที่จะมีรายได้จากการส่งออกซอฟต์แวร์ไม่ต่ำกว่า
40,000 ล้านบาท เมื่อไม่นานมานี้ ฝ่ายผู้ประกอบการก็มีการปรึกษาหารือกันว่า
ที่จะทำส่งออกควรจะเป็นซอฟต์แวร์ประเภทไหน ใช้เทคโนโลยีแบบไหน เราคงไม่สามารถผลิตเทคโนโลยีได้ครอบจักรวาล
ก็ต้องเน้นจุดที่มีความต้องการและเราสามารถทำได้ดี และก็เตรียมบุคลากรให้สอดคล้อง
แนวนโยบายประการที่สองคือการผลักดันพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ใน 5-6 ปีข้างหน้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จะกลายมาเป็นแบบแผนของการดำเนินธุรกิจ
(business model) เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพิจารณาว่าการที่จะพัฒนา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นต้องการบุคลากรประเภทใดบ้าง
ซึ่งก็น่าจะเป็นบุคลากรที่มีทักษะด้าน web programming, software
security นโยบายประการที่สาม ก็เป็นเรื่องของ ระบบพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
ที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ในมาตรา 78 ซึ่งระบุว่ารัฐจะต้องจัดหาการบริการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและทัดเทียมกัน เมื่อไรรัฐบาลเริ่มปฏิบัติตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
จะทำให้เกิดโครงการไอทีใหม่ๆ เป็นอย่างมาก และเมื่อนั้น การขาดแคลนบุคลากรด้านไอที
ก็จะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ถ้ารัฐยังนิ่งนอนใจ และไม่หาทางแก้ไขตั้งแต่บัดนี้
ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะมีปัญหาแน่นอน
|