Current Duties
Courses
ICT Ideas
ICT Education
ICT Management
ICT Principles
ICT Standards
ICT Vocabulary
CMM / CMMI
Case Studies
General Articles
Presentations
Book Reviews
Buddhism
Personal Efficiency
Writing Guides
Research Guides
VIP
Q & A
Contacts
Archive
Seminars

Home
IT Idea for Spiritization

เรื่อง ไอซีทีกับการเรียนรู้

ผู้เขียน ดร. ครรชิต มาลัยวงศ์
(เรื่องนี้นำลงเว็บแล้ว กพ 51)

        ปัจจุบันนี้หน่วยงานและบริษัทหลายแห่งเริ่มตั้งงบประมาณสำหรับการพัฒนา e-Learning และ e-Training กันมากขึ้น

        ดูแล้วเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับการที่เมืองไทยจะก้าวไปสู่ยุคสังคมอิงความรู้ (Knowledge based society) แต่การก้าวเดินครั้งนี้อาจจะไม่ราบรื่นเหมือนที่หน่วยงานและบริษัทคาดฝันก็ได้

        ผมคงไม่ต้องย้ำให้เจ็บปวดว่า คนไทยจำนวนมากไม่ค่อยสนใจเรียนรู้ เมื่อเราได้รับปริญญาตรีแล้วเราก็ชอบพูดกันว่า "จบการศึกษาแล้ว" การที่ "จบแล้ว" นี่เองทำให้ไม่สนใจจะเรียนรู้อีก

        คนไทยส่วนใหญ่ไม่ใคร่สนใจว่าความรู้ของโลกได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวทุก ๆ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี และเรื่องที่ตนได้เรียนรู้ในชั้นมัธยม หรือ อุดมศึกษานั้น ความจริงแล้วล้าสมัยไปทันทีที่พ้นรั้วสถานศึกษาออกมา

        พนักงานในหน่วยงานหลายแห่งทำหน้าเหนื่อยหน่ายเมื่อหัวหน้าสั่งให้ไปเข้าสัมมนา หรือให้ไปเข้าเรียนในหลักสูตร และเมื่อจำเป็นต้องไปเข้าเรียนก็ไปเรียนอย่างเสียไม่ได้ ไม่สนใจที่จะใช้โอกาสนั้นตักตวงความรู้มาใส่ตน หลายคนได้เอกสารอันเป็นความรู้มาจากสัมมนาหรืองานประชุมวิชาการแล้วก็นำมาไว้บนหิ้ง หรือใส่ถุงกองไว้โดยไม่ได้เปิดอ่านศึกษาอีกเลย

        จริงอยู่ ทุกวันนี้มีผู้สนใจเรียนปริญญาโทและเอกกันมาก และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศก็กำลังเร่งรีบจัดทำหลักสูตรทั้งปริญญาโทและเอกออกมามากมาย แต่ถ้าวิเคราะห์ให้ดี ผู้เรียนเหล่านี้มีน้อยเหลือเกินที่สนใจอยากได้ความรู้ ส่วนใหญ่อยากได้แผ่นกระดาษปริญญามากกว่า หากผู้เรียนอยากได้ความรู้จริง คนที่เปิดธุรกิจรับจ้างทำวิทยานิพนธ์หรือโครงงานอิสระก็คงจะไม่มีลูกค้า และ คงไม่มีอาจารย์หรือสถาบันใดคิดเปิดหลักสูตรตอบสนองตัณหานักการเมือง

        การเรียนรู้เป็นเรื่องสำคัญของชีวิตในยุคปัจจุบัน เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลาเพราะสังคมเวลานี้ต้องใช้เทคโนโลยีเป็นพื้นฐานในการทำงานและทำธุรกิจมากทีเดียว ผู้ที่ไม่สามารถตามเทคโนโลยีได้ทัน ไม่รู้จักนำแนวคิดและเทคนิคใหม่ ๆ มาใช้ในหน่วยงาน ก็จะไม่สามารถนำหน่วยงานไปสู่เป้าหมายและความรุ่งเรืองได้

        โดยทั่วไปแล้วความสำเร็จของหน่วยงานนั้นอันที่จริงเกิดขึ้นได้ด้วยความสามารถของบุคลากรของหน่วยงานเอง หากบุคลากรไม่มีความสามารถและทักษะในการทำงานพอเพียงแล้ว การทำงานก็ล้มเหลว ดังนั้น หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเวลานี้จึงเริ่มตื่นตัวสนใจในเรื่องการพัฒนาบุคลากรของตนให้มีความสามารถและทักษะมากขึ้น และเริ่มใช้เว็บเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทางด้านนี้

        การใช้ไอซีทีมาช่วยในด้านการพัฒนาบุคลากรนั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน ลำพังการนำเนื้อหาวิชาที่คิดว่าเหมาะสมมาบรรจุเป็นคำสอนไว้ในเว็บนั้นยังไม่ถูกต้อง และการเร่งรีบจัดทำ e-Learning ให้ได้เนื้อหาวิชาอยู่ในเว็บเร็ว ๆ ก็เป็นเรื่องที่ผิด ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายไปก็ได้

        หน่วยงานที่ต้องการใช้ไอซีทีในการพัฒนาบุคลากรจะต้องพิจารณาแง่มุมต่าง ๆ ให้รอบคอบ และวางแผนงานอย่างละเอียด

        แรกสุด หน่วยงานจำเป็นต้องทราบความต้องการก่อนว่าจะพัฒนาบุคลากรไปทางด้านใด การแข่งขันในทุกวันนี้ทำให้ทุกหน่วยงานต้องพัฒนาบุคลากรในทุกด้าน ด้านความรู้ใหม่ทีจะต้องใช้ในแต่ละฟังก์ชันงานก็มีเรื่องมากมายที่ต้องนำมาสอน ด้านความรู้ทั่วไปที่จะช่วยให้การทำงานดียิ่งขึ้นเช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น หรือแม้แต่ภาษาไทย เทคนิคการเขียน เทคนิคการนำเสนอ เทคนิคการประชุม เทคนิคการสื่อสาร ฯลฯ (น่าแปลกใจที่บุคลากรในหลายหน่วยงานอ่อนแอในเรื่องเหล่านี้มาก จนอดคิดสงสัยไม่ได้ว่าคนเหล่านี้ไปจบหลักสูตรจากประเทศด้อยพัฒนาที่ไหนมา) ด้านนิสัยและพฤติกรรม ด้านการแก้ปัญหา ด้านความคิดสร้างสรรค์ รวมแล้วมีเรื่องมากมายที่จะต้องพัฒนา

        แต่เราจะจัดสอนเรื่องอะไรบ้าง จะนำบทเรียนอะไรลงเว็บก่อนดี เป็นคำถามที่จะต้องตอบด้วยการวิเคราะห์ว่า บุคลากรแต่ละตำแหน่ง และแต่ละระดับนั้น ทำงานอะไร ต้องรู้อะไรบ้าง จากนั้นจึงนำรายละเอียดที่ศึกษาได้นั้นมาสรุปออกมาเป็นหัวข้อ และจัดลำดับความสำคัญ

        เมื่อได้หัวข้อแล้ว ก็จะต้องหาผู้เชี่ยวชาญมาจัดทำเนื้อหาหลักสูตร และต้องหาผู้ที่สามารถนำเนื้อหามาเรียบเรียงใหม่เป็นบทเรียนที่มีภาพกราฟิกส์และภาพเคลื่อนไหวประกอบ งานส่วนนี้ไม่ใช่งานง่าย เพราะการที่จะถ่ายทอดเนื้อหาที่เป็นข้อความเหมือนบทความนี้ไปเป็นภาพกราฟิกส์ที่สื่อเนื้อหาได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้ อีกทั้งยังต้องมีซอฟต์แวร์สำหรับจัดทำงานนำเสนอเป็นบทเรียนด้วย

        บทเรียนที่จะมีแต่เพียงข้อความให้อ่าน หรือมีภาพกราฟิกส์สนุก ๆ ให้ดูนั้น ยังไม่พอเพียงสำหรับการที่จะทำให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะได้จริง จำเป็นจะต้องมีแบบฝึกหัดที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ ย้ำตรึงความรู้ที่ได้รับ และ ฝึกการนำความรู้นั้นไปใช้ได้ด้วย แบบฝึกหัดที่มีความหมายสำหรับให้ผู้เรียนได้ฝึกผ่านเว็บนั้นเป็นเรื่องยากมาก และถ้าจะให้ดีต้องผ่านการทดสอบอย่างจริงจังมาด้วย

        การนำเสนอบทเรียนในเว็บคือเรื่องใหญ่ที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับต่อมา การนำเสนอในอินทราเน็ตเป็นเรื่องที่เหมาะที่สุด เพราะหน่วยงานย่อมไม่ต้องการให้ผู้อื่นทราบว่าเราพัฒนาบุคลากรอย่างไร หรือสอนวิชาอะไรบ้าง หากจำเป็นต้องนำเสนอในอินเทอร์เน็ตก็ควรใช้แบบ remote access โดยมีรหัสผ่านเข้าไปเรียน อย่างไรก็ตามวิธีนี้ก็เสี่ยงกับการที่พนักงานจะเปิดเผยหรือยอมให้ผู้อื่นเข้ามาดูด้วย สำหรับวิธีจัดทำบทเรียนในแผ่นซีดีหรือดีวีดีนั้นอาจเป็นทางเลือกสุดท้าย

        การนำเสนอบทเรียนในแบบ e-Learning ที่กล่าวถึงในตอนต้นนั้นไม่ใช่การนำเอาบทเรียนไว้ในเว็บตามแบบธรรมดา ๆ หน่วยงานจำเป็นต้องจัดโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ประกอบด้วย นับตั้งแต่กลไกการจัดทำคลังแบบทดสอบเพื่อให้คอมพิวเตอร์เลือกข้อสอบมาให้ผู้เรียนทำ การจัดสร้างเว็บบอร์ดประจำแต่ละวิชาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนได้ การจัดระบบอีเมลให้ผู้เรียนส่งคำถามไปให้ผู้เป็นเจ้าของเนื้อหาวิชาได้ และที่สำคัญก็คือการสอบและการคิดคะแนนสอบ ถ้าหากจำเป็นจะต้องมี

        เรื่องสุดท้ายที่ลืมไม่ได้ก็คือ ถึงจะสามารถจัดทำ e-Learning ได้ดีอย่างไรก็ตาม การพัฒนาบุคลากรก็ไม่มีทางสำเร็จ ถ้าหากหน่วยงานไม่สามารถสร้างนิสัยอยากเรียนรู้ อยากนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนาความสามารถ และต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องยากที่สุด และไอซีทีไม่สามารถจะช่วยได้

เคยลงพิมพ์ในนิตยสาร Business.com
ฉบับ ตุลาคม 2548

        


Home | Back